โรคหูดับ

“โรคหูดับ” (Sudden Hearing Loss SHL) คือการได้ยินเสียงน้อยลงหรือไม่ได้ยินเสียงเลย อาจเป็นข้างเดียวหรือสองข้างก็ได้ ถือเป็นภาวะสูญเสียการได้ยินอย่างกะทันหัน

โรคหูดับ หมายถึง ระดับการได้ยินลดลงมากกว่า 70 เดซิเบล เป็นเวลานานเกินกว่า 72 ชั่วโมง แต่อาการจะปรากฏเด่นชัดในช่วง 2 – 3 ชั่วโมแรก รุนแรงมากน้อยต่างกัน และระดับเสียงที่ไม่ได้ยินอาจเป็นระดับเสียงที่ความดังเท่าใดก็ได้ อาการของโรคหูดับอาจเป็นเพียงแค่ชั่วคราวหรือเกิดขี้นได้อย่างถาวร

อาการของโรค

ผู้ป่วยหนึ่งในสามมักจะมีอาการหูดับในช่วงเช้า โดยเฉพาะหลังตื่นนอนใหม่ ๆ และมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น ปวดศีรษะ เวียนหัว อาเจียน บ้านหมุน และมีเสียงดังในหูร่วมด้วย

สาเหตุ

1. โรคหูดับ หรือเส้นประสาทหูเสื่อม สาเหตุเกิดจากเชื้อไวรัสบางชนิด ซึ่งพบมากถึงร้อยละ 60 โดยสามารถตรวจพบการเปลี่ยนแปลงทางน้ำเหลืองในปฏิบัติการ ไวรัสที่เป็นสาเหตุได้แก่ ไวรัสไข้หวัดใหญ่ (Influenza type B) ซัยโตเมกาโลไวรัส (CMV) ไวรัสคางทูม (mumps) รูบิโอลา (rubeola) ไวรัสสุกใส – งูสวัด (varicella – zoster) ซึ่งไวรัสเหล่านี้จะไปทำให้หูชั้นในอักเสบได้

2. โรคหูดับเกิดจากการรับประทานอาหารสุก ๆ ดิบ ๆ ที่มีเชื้อแบคทีเรีย สเตร็พค็อกคัสซูอิส ปนเปื้อนอยู่ เช่น ลาบดิบ ก๋วยเตี๋ยวน้ำตกที่ปรุงโดยใช้เลือดดิบ เป็นต้น

3. โรคหูดับเกิดจากการได้ยินเสียงดังมาก ๆ ในทันที เช่น เสียงระเบิด เสียงฟ้าผ่า นอกจากนี้ ผู้ป่วยบางรายเป็นโรคหูดับเพราะความเครียด ไม่ได้นอนพักผ่อนอย่างเพียงพอ อดหลับอดนอนเพราะโหมงานหนักมากเกินไป ก็เป็นสาเหตุให้เกิดโรคหูดับได้เช่นกัน

4. โรคหูดับเกิดจากการผิดปกติของเลือด เป็นโรคหลอดเลือด เช่น ความดันสูง การไหลเวียนกระแสโลหิตบกพร่อง หลอดเลือดอักเสบหรืออุดตัน การติดเชื้อไวรัสแบคทีเรีย การฉีกขาดของเยื่อปิดหน้าต่างของหูชั้นในซึ่งเกิดจากการไอ จามรุนแรง การผ่าตัดหู หรือความผิดปกติทางฮอร์โมนและต่อมไร้ท่อ เช่น โรคไทรอยด์ จากการผิดปกติของการเผาผลาญ เช่น โรคเบาหวาน รวมทั้งการได้รับแรงกระทบกระแทกของศีรษะ เป็นต้น

นอกจากนี้ยังมี “โรคหูดับเฉียบพลัน” (Sudden Sensorineural Hearing Loss) ที่อยู่ ๆ ผู้ป่วยเกิดไม่ได้ยินเสียงขึ้นมาเฉย ๆ จนหูดับไปจนเกือบไม่ได้ยินเลยในเวลาไม่เกิน 3 วัน ซึ่งอาการหูดับเฉียบพลันนี้  อาจเกิดจากเนื้องอกของประสาทสมองที่ 8 กดทับเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงหูชั้นใน

การป้องกัน

การป้องกันโรคหูดับที่ดีที่สุดคือ ไม่รับประทานอาหารที่ปรุงสุก ๆ ดิบ ๆ เพื่อไม่ให้เชื้อ “สเตร็พโตค็อกคัส ซูอิส” เข้าสู่ร่างกายได้ รวมทั้งหลีกเลี่ยงเสียงดัง เช่น ไม่ควรเปิดเพลงจากเครื่องเล่น MP3 ในระดับเสียงที่ดังจนเกินไป หรือฟังเป็นระยะเวลานานติดต่อกัน และควรหลีกเลี่ยงสถานที่หรือสภาวะแวดล้อมที่มีเสียงดังมากๆ